ในช่วงหลังๆ มานี้ใครหลายๆ คนอาจจะเคยเห็นครีมกันแดดที่มีคำเคลมว่า “เป็นมิตรกับระการัง” แล้วสงสัยไหมคะ ว่าแล้วกันแดดไปเกี่ยวข้องกับปะการังได้ยังไง? และทำไมถึงต้องเป็นกันแดดที่เป็นมิตรกับปะการังด้วยล่ะ?
จริงๆ แล้วเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่เราใช้ในทุกๆ วันมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เราคิด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่าครีมกันแดดที่เราจำเป็นต้องทาอยู่ทุกวัน ก็มีส่วนทำลายระบบนิเวศใต้น้ำและทำให้ปะการังเสียหาย จนเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกที่องค์กรต่างๆ ต้องหันมาสนใจและจัดการกับเรื่องนี้เลยทีเดียว
Cosmania จะพาไปดูกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องห้ามใช้ส่วนผสมครีมกันแดดที่เป็นอันตรายต่อปะการัง และเรื่องราวความเป็นมา เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคเห็นถึงความสำคัญของการเลือกใช้ครีมกันแดดที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมของเรา
ถ้าหากจะถามว่า ไอเท็มติดตัวที่ต้องมีเมื่อไปเล่นน้ำในทะเลเพื่อป้องกันแสงแดดมาทำร้ายผิวคืออะไร มั่นใจได้เลยค่ะว่าทุกคนจะต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ครีมกันแดด เพราะช่วยปกป้องผิวของเราจากรังสี UVA และ UVB ที่จะทำให้ผิวเราคล้ำเสียได้ ยิ่งกูรูบิ้วตี้หลายๆสำนักก็แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน วันละหลายๆครั้ง และให้เลือกครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำได้เพื่อป้องกันการถูกชำระหายไปจากเหงื่อหรือการลงน้ำ
ซึ่งการที่เราทาครีมกันแดดเพื่อที่จะไปเล่นน้ำทะเลอย่างสนกสนานนี่แหละค่ะ คือจุดเริ่มต้นในการทำลายระบบนิเวศใต้น้ำโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะครีมกันแดดที่มีสาวนผสมของสารเคมีต่างๆจะถูกชะล้างและปนเปื้อนลงไปในน้ำ เกิดการสะสมของสารเคมีจนมีจำนวนมากเพียงพอที่ไปส่งผลกระทบต่อสิ่งชีวิตใต้ท้องทะเลได้
ครีมกันแดดทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร?
ต้นกำเนิดของเรื่องราวเกิดจากเมื่อปี 2018 มีองค์กรทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีชื่อว่า Haereticus Environmental Laboratory ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับปะการังและพบว่า สารเคมีจากครีมกันแดดเช่น Oxybenzone, Octinoxate, Ethyl paraben และ Butyl paraben มีผลเสียส่งกระทบกับระบบนิเวศใต้ทะเล เช่น
- ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าปะการังจะตายลง
- สร้างความเสียหายกับดีเอ็นเอของปะการังที่โตเต็มที่ ขัดขวางระบบสืบพันธุ์
- ทำลายโครงสร้างภายในของตัวอ่อนปะการัง
- ทำลายความสัมพันธ์ทางชีวภาพระหว่างปะการังและสาหร่าย
- เป็นอันตรายต่อระบบการสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำ
ภาพ: National Geographic Thailand
นอกจากนี้การวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Archives of Environmental Contamination and Toxicology ยังออกมาเผยว่า ในทุกๆปีจะมีครีมกันแดดมากถึง 14,000 ตัน จากการที่นักท่องเที่ยวใช้ ถูกชะล้างลงสู่แนวปะการังในทะเล และนี่ยังไม่นับรวมครีมและเครื่องสำอางชนิดอื่นๆอีกจำนวนมาก ที่ปนเปื้อนออกมากับท่อระบายน้ำหลังจากชำระล้างร่างกายไหลลงสู่ทะเล
จุดเริ่มต้นในการออกกฎหมายเพื่อดูแลปะการัง
ประเทศปาเลา เป็นประเทศแรกของโลก ที่เล็งเห็นถึงปัญหานี้และออกกฎหมายแบนครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตราย 10 ชนิด เนื่องจากเป็นอันตรายต่อแนวปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 ม.ค. 2563
และเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 รัฐฮาวาย ถือเป็นรัฐแรกในอเมริกา ที่เริ่มต้นใช้กฎหมายห้ามจำหน่ายครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังและสิ่งแวดล้อมในทะเล โดยเฉพาะ Oxybenzone และ Octinoxate ที่มีผลบังคับใช้แล้ว เพื่อให้การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของฮาวายเอง จากนั้นหลายๆประเทศก็เริ่มหันมามีการบังคับใช้กฎหมายนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงประเทศไทยของเรา
กฎหมายในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยของเราเอง ก็มีการออกกฎหมายเพื่อดูแลรักษาแนวปะการังเช่นเดียวกัน
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศประกาศกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่องห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ
โดยได้ระบุว่า ด้วยในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมี ที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ทำให้ปะการังเกิดการเสื่อมโทรมลงจากสารเคมีเหล่านั้น และได้กำหนดสารที่ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ 4 ชนิด
สารเคมี 4 ชนิด ต้องห้าม ตามกฎหมายของประเทศไทย
- Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3)
- Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate)
- 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC)
- Butylparaben
ยิ่งเฉพาะOxybenzone หรือ BP3 ที่เรามักพบกันบ่อยๆในครีมกันแดด เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันได้ทั้งยูวีเอและยูวีบี ซึ่งสารตัวนี้รบกวนระบบสืบพันธุ์ ทำให้ตัวอ่อนของปะการังโตแบบผิดรูป หรือไม่ก็พิการและตายไปเลยทีเดียว
ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564
เมื่อกฎหมายได้มีการกำหนดว่าห้ามใช้สารเคมี 4 ตัวนี้ ทำให้เจ้าของแบรนด์ครีมกันแดดจะต้องมีการปรับและพัฒนาสูตรเพื่อให้สอดคล้องทั้งกับความต้องการของลูกค้าและกฎหมาย แล้วครีมกันแดดแบบไหนล่ะ? ที่จะสามารถใช้ได้โดยไม่เป็นการทำลายปะการัง
วิธีเลือกครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อปะการัง
การเลือกครีมกันแดดที่เป็นมิตรกับปะการัง ควรเลือกครีมกันแดดที่ใช้สารกันแดดแบบ
- Physical suncreen เช่น Zinc oxide หรือ Titanium dioxide ซึ่งไม่ละลายน้ำและตกตะกอนสู่ก้นทะเลได้อย่างปลอดภัย
- ใช้ครีมกันแดดแบบ Water resistant เพื่อให้เกิดชำระล้างอยู่ในน้ำน้อยกว่าครีมกันแดดทั่วไป
ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 2 อย่างที่ได้พูดกันไปข้างต้นก็ได้รวมอยู่ใน Godmami Physical sunscreen lotion for kids ครีมกันแดดสำหรับเด็ก SPF 50 PA+++ ที่ปราศจากสารกันแดดแบบเคมี 100% และเป็นสูตรกันน้ำ ปลอดภัยต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเลและปะการัง
ครีมกันแดดของ Godmami ตัวนี้สามารถทั้งได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย เพราะสูตรค่อนข้างอ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แม้แต่คุณแม่ตั้งครรภ์ก็สามารถใช้ได้ เพราะปราศจากสารกันแดดแบบเคมี 100% ไม่มีส่วนประกอบของซิลิโคน น้ำมัน น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน และสีสังเคราะห์ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยค่า SPF 50 PA+++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB และ IR พร้อมทั้งยังมีโพลีเมอร์ช่วยเคลือบผิวกันน้ำ และอุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาตินานาชนิดที่ช่วยปลอบประโลมผิวจากแสงแดด ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ (Anti-Pollution) เนื้อครีมเกลี่ยง่าย ซึมไว
ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ตัวเลือกที่ดีมากๆเลยล่ะค่ะสำหรับใครที่อยากจะเปลี่ยนมาใช้ครีมกันแดดที่ช่วยอนุรักษ์ปะการัง แถมยังอ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิว ไม่ต้องกังวลว่าผิวจะถูกทำร้ายจากแสงแดดและปะการังจะถูกทำร้ายจากสารเคมีอันตรายเลยค่ะ
นอกจากจะเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นมิตรต่อสิ่แวดล้อมแล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ใช้หมวกและร่มหรือสวมใส่เสื้อแขนยาวเพื่อบังแสงแดด จะได้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ครีมกันแดดในปริมาณมากๆได้ค่ะ นอกจากจะใส่ใจดูแลผิวพรรณแล้วก็อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเช่นกันนะคะ
ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.blockdit.com/posts/6008f663e1f37b0cc58685c9