อยากทำแบรนด์ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดีๆ ก็ต้องมีค่า SPF สูงๆไว้ก่อนสิ ถึงจะรอด!
เอ๊ะๆ.. ใครกำลังมีความเชื่อผิดๆนี้อยู่รึเปล่าคะ จริงอยู่ที่แดดประเทศมันช่างร้อนแรงชวนแสบผิวซะเหลือเกิน ไม่แปลกเลยที่ครีมกันแดดทั่วไปในตลาดจะมักมีค่า SPF สูงๆเพื่อสื่อถึงการป้องกันแดดได้ดีเยี่ยม แต่การที่ครีมกันแดดมีค่า SPF สูงนั้นไม่ได้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกคนเสมอไปนะคะ เพราะนอกจากจะเป็นการใช้ค่าSPF ที่สูงเกินความพอดี ก็อาจจะทำให้ผิวเกิดการแพ้ได้ด้วย! วันนี้ Cosmania จึงจะมาอธิบายถึงความหมายของค่า SPF ว่าแท้ที่จริงแล้วคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร ? และจะเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
SPF คืออะไร?
SPF เป็นคำที่ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าบอกความสามารถการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้ผิวไหม้ (ผิวแดง+แสบร้อน) ซึ่งตัวเลข SPF คือ จำนวนเท่าที่ครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวได้ (ทาด้วยความหนา 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งตารางเซนติเมตร) เมื่อเปรียบเทียบกับผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด
อาจจะฟังดูงงๆไปบ้างสำหรับใครที่ยังไม่เคยคำนวณค่า SPF มาก่อน ถ้างั้นไปดูตัวอย่างกันเลยค่ะ
ตัวอย่างสถานการณ์
นางสาวสวยใส ออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัวในวันหยุด และได้สังเกตว่าผิวตนเองเริ่มมีอาการแสบแดง หลังจากที่จากแดดเป็นเวลา 10 นาที นางสาวสวยใสจึงได้หยิบครีมกันแดดที่ดี SPF 15 ขึ้้นมาทาผิว
คำถาม: เมื่อนางสาวสวยใสทาครีมกันแดดแล้วจะสามารถตากแดดได้นานขึ้นกี่นาทีผวถึงจะไม่แสบร้อน?
เฉลย: วิธีการคำนวณ (เวลาที่ผิวปกติสามารถทนแสงแดงงได้ก่อนจะเกิดอาการแสบร้อน x ค่า SPF)
= 10 x 15
= 150 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 30 นาที
เพราะฉะนั้นการที่นางสาวสวยใสทาครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะช่วยให้นางสาวสวยใสตากแดดได้นาน 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยไม่มีอาการแสบร้อนผิว เป็นยังไงคะ คำนวนณง่ายๆไม่ยากอย่างที่คิดเลย
หมายเหตุ : ผิวของแต่ละมีระยะเวลาในการทนแสงแดดได้แตกต่างกัน
ความสำคัญของ SPF
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ทาครีมกันแดดหรือทากันแดดที่มี SPF น้อยเกินไป?
รังสี UVB ที่มาจากแสงแดดนั้นสามารถทะลุเข้าทำร้ายผิวหนังชั้นนอกและทำให้เกิดการไหม้แดด (Burn) จะมีอาการแสบร้อนผิว หรือผิวคล้ำเสีย หากปล่อยให้รับรังสี UVB ระยะยาวก็อาจก่อให้เกิดการกระตุ้น DNA ใต้ผิวหนังเปลี่ยนสภาพเซลล์เป็นมะเร็งผิวหนังได้
ภาพ : Bioderma
ต้องเลือก SPF ที่สูงไว้ก่อนจริงหรอ?
นอกจากค่าSPFจะบอกความสามารถในการปกป้องผิวแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังได้มีการทดสอบเปอร์เซ็นต์การดูดซับรังสี UVB ของระดับค่า SPF ต่างๆ ซึ่ง ได้ผลดังนี้
SPF 8 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 87.5%
SPF 15 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 93.3%
SPF 20 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 95%
SPF 30 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 96.7%
SPF 45 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 97.8%
SPF 50 จะมีความสามารถในการดูดซับ รังสี UVB ได้ 98%
*หมายเหตุ: ที่จริงแล้วค่า SPF ที่มากกว่า 50 ก็มีนะคะ แต่เนื่องจากประสิทธิภาพไม่ได้ต่างไปจาก SPF เท่าไหร่ กฎหมายจึงอนุญาตให้แสดงเพียงแค่เป็น 50+ เท่านั้น
จะเห็นได้ว่าค่า SPF ที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลให้การดูดซับรังสี UVB เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่เท่ากัน ในทางกลับกันค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป มีความสามารถในการดูดซับรังสี UVB ได้ใกล้เคียงกับค่า SFP สูงๆ เพราะฉะนั้นหากใครทีมีความกังวลว่าการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง จะทำให้ผิวเกิดการแพ้จากสารกันแดดที่มีปริมาณมาก เหนียวเหนอะหนะ ก็สามารถเลือกครีมกันแดดที่มี SPF รองลงมาได้ แต่อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของครีมกันแดดอาจจะลดลงได้เมื่อเจอกับเหงื่อ น้ำ และมลภาวะต่างๆในสภาพแวดล้อม นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องทาครีมกันแดดทุกๆ 2 ชั่วโมง
Broad spectrum คืออะไร?
หลายๆคนอาจจะเคยเห็นครีมกันแดดที่มีคำว่า Broad spectrum บนฉลาก ซึ่งคำนี้เป็นคำที่สื่อว่าครีมกันแดดสามารถป้องกันได้อย่างครอบคลุมทั้งรังสี UVB,UVA หรือแม้แต่แสงสีฟ้า อย่างที่เราเคยพูดกันไปในบทความ Chemical VS Physical เทียบชัดๆกันแดดแบบไหนดีที่สุด ว่าในแสงแดดนั้นมีทั้งรังสี UVB และ UVA ที่สามารถบุกทะลวงเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับชั้นผิวหนังของเราได้
ภาพ : Dermascope Magazine
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรามักเห็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF และค่า PA อยู่ควบคู่กัน นั่นก็เพื่อปกป้องแสงแดดได้อย่างครอบคลุมทุกช่วงรังสี UV นั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดูเจ้าค่า PA กันแบบเจาะลึกว่าคืออะไรและมีความสำคัญยังไงบ้างนะ
ค่า PA ค่าสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ค่า PA หรือ Protection grade of UVA เป็นค่าที่บอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ที่ทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยหย่อนคล้อย จุดด่างดำ ฝ้าแดด ไปจนถึงมะเร็งผิวหนังเลยทีเดียว โดยสามารถปกป้องได้มากหรือน้อยให้ดูที่เครื่องหมาย (+) หรือในบางประเทศก็อาจจะใช้เป็นรูปดาว
ครีมกันแดดสูตรกันน้ำกับประสิทธิภาพที่มากกว่า
อย่างที่เรารู้กันว่าแม้ SPF สูงจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดี แต่เมื่อโดนเหงื่อหรือน้ำ ก็จะหลุดออก ทำให้ประสิทธิภาพในการกันแดดลดน้อยลง เราจึงควรเลือกกันแดดที่เป็นสูตรกันน้ำร่วมด้วยเพื่อเสริมเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม โดยจะมีสองแบบ คือ
- ครีมกันแดดสูตรกันน้ำ ( Water-resistance sunscreen )
จะสามารถรักษาประสิทธิภาพในการกันแดดของ SPF ได้ 20 นาที หลังลงน้ำ
- ครีมกันแดดสูตรกันน้ำแบบพิเศษ (Very water-resistance sunscreen)
จะสามารถรักษาประสิทธิภาพในการกันแดดของ SPF ได้ 80 นาที หลังลงน้ำ
วิธีเลือกกันแดดให้เหมาะกับแต่ละสภาพผิวของกลุ่มลูกค้า
สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่กำลังตัดสนใจว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไหร่ดี อาจจะทำการกำหนดหรือสำรวจกลุ่มลุกค้าเป้าหมายว่าพวกเขามีสภาพผิวแบบไหน การใช้ชีวิตประจำเป็นอย่างไร จึงจะได้เลือกกันแดดที่เหมาะสมกับลูกค้าให้มากที่สุด
แบ่งตามสภาพผิว
เราสามารถเลือกค่า SPF ของครีมกันแดดได้จากสภาพผิว ซึ่งแต่ละสภาพผิวจะมีความไวต่อแสง และเวลาที่ทนต่อแสงแดดไม่เท่ากัน มาลองดูกันเลยว่าผิวแต่ละแบบเหมาะกับ SPF เท่าไหร่
แบ่งตามการใช้ชีวิตประจำวัน
SPF 15
ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน ที่ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในบ้าน ที่ทำงาน ที่ร่มหรือไม่ได้ออกไปเจอแดดนานกว่า 20 นาทีต่อครั้ง ค่า SPF นี้ก็ถือว่าเพียงพอในการปกป้องผิวได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ
SPF 30
ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 มักจะพบเห็นได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอื่นๆเช่นกัน และเป็นค่าที่ได้รับการแนะนำเป็นอย่างมาก จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดมากกว่า SPF 15 เหมาะสำหรับการที่ต้องออกไปทานข้าวข้างนอกในตอนกลางวัน หรือพาสุนัขไปเดินเล่นในยามเช้าๆ
SPF 50
ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ถือเป็นค่าที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ อย่างเช่น การเดินทางออกนอกบ้านในระยะทางไกลๆ การเล่นกีฬา การทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงแดดแรงๆ
แบบChart รวม
สำหรับใครที่อยากเลือกค่า SPF แบบทั้งที่แบ่งตามสภาพผิวและระยะเวลาที่ต้องออกแดด Cosmania ก็มีตารางเปรียบเทียบจาก มาให้ดูกันด้วยค่ะ
ภาพ: sunlab
การใช้ครีมกันแดดให้ถูกวิธี
นอกจากจะเลือกกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและไลฟ์สไตล์แล้ว การใช้ครีมกันแดดให้ถูกต้องก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าและวิธีการใช้ครีมกันแดดที่ผิดอยู่ถึง 98% เลยทีเดียว
- ทาก่อนออกแดด 15-30 นาที เพื่อให้ครีมเซ็ทตัวติดอยู่กับผิวได้ดี พร้อมปกป้องแสงแดด
- ปริมาณที่เหมาะสมในการใช้ครีมกันแดดคือ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ บีบออกมาให้มีขนาดเท่าเหรียญสิบ 1-2 เหรียญ
- ควรทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือเมื่อเจอกับน้ำและเหงื่อในกรณีที่กันแดดไม่ได้เป็นสูตรกันน้ำ เพราะจะทำให้ครีมไหลละลายออกมาได้
- หลีกเลี่ยงไม่ใช่ครีมกันแดดที่หมดอายุ ครีมกันแดดที่หมดอายุแล้วนั้นจะเสื่อมสภาพและเสียความสามารถในการป้องกันผิว ทำให้ไม่สามารถปกป้องแสงแดดได้เท่าที่ควร ก่อนใช้อย่าลืมตรวจเช็ควันหมดอายุข้างขวดกันก่อนด้วยนะคะ
- เก็บขวดครีมกันแดดให้ถูกวิธี ไม่เปิดฝาทิ้งไว้ ไม่เก็บในที่อากาศร้อนจัดหรือในรถยนต์ เพราะอุณหภูมิที่สูงเกินไปจะทำให้กันแดดเสื่อมภาพ และก็ไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นเช่นเดียวกัน เพราะเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในนั้นอาจจะทำให้กันแดดปนเปื้อนและเสื่อมสภาพได้
สรุปแล้วค่า SPF สูงนั้นไม่เท่ากับว่าดีเสมอไป แต่เราควรเลือกให้เเหมาะกับสภาพผิวและการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าหากเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ที่น้อยเกินไปก็จะไม่สามารถป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้ แตถ้าเลือกใช้ค่า SPF ที่สูงเกินควรก็เสี่ยงการแพ้จากสารเคมี เพราะฉะนั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับผิวตัวเองจะดีที่สุดค่ะ
สำหรับใครที่อยากจะสร้างแบรนด์ครีมกันแดด โรงงานผลิตของ Cosmania ก็มีครีมกันแดดหลากหลายรูปแบบ และ SPF ให้เลือกสรร คิดค้นสูตรโดยนักวิจัยและมีทีมให้คำปรึกษาในทุกๆขั้นตอนตั้งแต่เริ่มผลิตไปจนถึงวางขาย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้สินค้าที่โดดเด่นแตกต่างและมีคุณภาพมากที่สุด
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.loreal-paris.co.th/what-spf-should-i-buy
https://sunlabs.co.za/summer-sun-safety-tips/sun-lab-spf-chart/