ครีมกันแดดถือเป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้เลยในการออกไปใช้ชีวิตประจำวันข้างนอกบ้าน หรือแม้แต่อยู่ในบ้านเองก็ยังมีแสงไฟภายในบ้านหรือแสงจากคอมพิวเตอร์คอยจ้องจะทำร้ายผิวอยู่เสมอ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าครีมกันแดดยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ฮอตฮิตและมีความต้องการจากผู้บริโภคตลอดกาล แต่หลายๆคนอาจจะกำลังตามหาครีมกันแดดในดวงใจที่จะสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเนื้อสัมผัสบางเบา ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มัน แต่เลือกยังไง๊ ยังไง ก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเลือกกันแดดแบบไหนดีที่จะเหมาะสมกับผิว
เชื่อว่าคนที่เคยใช้ครีมกันแดดอาจจะคุ้นเคยกับคำสองคำนี้ นั่นคือ ‘Chemical sunscreen’ และ ‘Physical sunscreen’ ส่วนใครที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะในบทความในเราจะพาไปทำความรู้จักกับกันแดดทั้งสองชนิด เปรียบเทียบกันชัดๆแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ว่าแบบไหนเป็นกันแดดที่ควรใช้มากที่สุด !
แต่ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับกันแดดแบบ Chemical และ Physical เรามาปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับแสงยูวีที่เราต้องเผชิยกันทุกวันกันก่อนดีกว่า
แสงแดดที่ส่องลงมาจากพระอาทิตย์นั้นประกอบไปด้วยช่วงคลื่นต่างๆ ซึ่งช่วงคลื่นแสงที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรงไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นหรือรับรู้ได้จากประสาทสัมผัส เช่น รู้สึกร้อนผิวหนัง จะมีด้วยกันหลักๆ 3 ช่วงได้แก่
1.) รังสี Ultraviolet หรือที่เราเรียกสั้นๆกันว่า รังสี UV ประกอบไปด้วย UVC, UVB, UVA
2) Visible light หรือแสงที่ตาของเราสามารถมองเห็นเป็นสีต่างๆได้นั่นเอง
3.) Infrared รังสีความร้อน เป็นช่วงแสงที่เมื่อสัมผัสกับผิวหนังของเรา จะทำให้รับรู้ถึงความรู้สึกร้อนได้
ซึ่งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องมายังโลก จะมีเพียงแค่ UVC เท่านั้นที่ถูกกรองเอาไว้ด้วยชั้นโอโซน จึงไม่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศลงมาที่ผิวโลกได้ เพราะฉะนั้นจึงมีเพียงแค่ UVB, UVA, visible light และ IR เท่านั้นที่ผ่านลงมาหาเรา ซึ่งรังสีเหล่านี้นี่แหละที่เมื่อได้สัมผัสกับผิวของเราจากนั้นก็ทะลวงเข้ามายังชั้นผิวหนังทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆตามมาเช่น ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ตีนกา มะเร็งผิวหนัง
รูปภาพจาก : The beauty shortlist
และนั่นก็เป็นพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับแสงแดดแบบฉบับย่อ หลังจากนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะลุยทำความรู้จักกับประเภทของครีมกันแดดที่จะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดตัวร้ายเหล่านี้ ไปดูกันเลยย
ครีมกันแดดแบบ Chemical
สารกันแดดที่อยู่ใน Chemical sunscreen จะเป็นสารกันแดดที่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UV โดยการซึมซับรังสีเอาไว้ไม่ให้ทะลุลงไปถึงชั้นผิวจากนั้นจึงปล่อยออกมาในรูปของความร้อน ตัวอย่างที่พบบ่อยๆก็คือ 2-Ethylhexylmethoxycinnamate (Parsol MCX) Benzophenone-3 (Oxybenzone) และ Butylmethoxydibenzoylmethane (Avobenzone)
รูปภาพจาก : ScienceDirect.com
ข้อดีของ Chemical sunscreen
- ใช้เพียงปริมาณน้อยก็ให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดสูง
- เนื้อบางเบา เกลี่ยง่าย ทาง่าย
- ทนน้ำทนเหงื่อ ไม่เป็นคราบขาว
- สามารถเพิ่มส่วนประกอบอื่นๆลงไปในส่วนผสมได้ง่ายกว่าแบบ physical ทำให้ครีมกันแดดแบบนี้มักมีข้อดีอื่นๆ นอกจากการกันแดด
ข้อเสียของ Chemical sunscreen
- ดูดซับรังสี UV ได้เพียงบางช่วงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของสารกันแดด จึงทำให้ต้องใช้สารหลายๆตัวเพื่อที่จะให้มีคุณสมบัติป้องกันแสงแดดได้ครอบคลุม ( Broard Spectrum)
รูปภาพจาก : RSC publishing
- ต้องทาก่อนออกแดด 20-30นาที เพื่อรอให้สารกันแดดออกฤทธิ์
- อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายกว่าครีมกันแดดแบบ Physical เนื่องจากมีจำนวนสารเคมีที่เยอะกว่า
- มีโอกาสอุดตันรูขุมขน โดยเฉพาะคนที่มีผิวมัน
- เมื่อเจอแดดนานๆ คุณสมบัติในการกันแดดจะลดลงจึงควรทาซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
ครีมกันแดดแบบ Physical
สารกันแดดในครีมกันแดดแบบ Physical หรือ mineral Screen จะมีแร่ธาตุ 2 ชนิดคือ Zinc Oxide (ZnO) และ Titanium Dioxide (TiO2) ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากแสงแดดโดยการสะท้อนกลับ จะเห็นว่าเมื่อแสงมาเจอกับอนุภาคของ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide แล้ว แสงแดดจะถูกสะท้อนออกมาจากผิว ทำให้ไม่สามารถทะลุเข้าไปถึงชั้นผิวหนังได้
รูปภาพจาก : ScienceDirect.com
ข้อดีของ Physical sunscreen
ใช้เพียงแค่สารสองตัว ก็สามารถดูดกลืนช่วงแสง UV ได้ครอบคลุมทุกช่วง UV (Broad Spectrum)
รูปภาพจาก : Ninithi.com
- ปลอดภัย เหมาะกับผิวแพ้ง่าย เด็กหรือคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากไม่มีสารเคมีที่จะสะสมในร่างกาย
- มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการอุดตันน้อย
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อประการังและระบบนิเวศทะเล
- ทาปุ๊บออกแดดได้ปั๊บไม่ต้องรอนาน
ข้อเสียของ Physical sunscreen
- อาจเป็นคราบขาวบนผิวเนื่องจากเนื้อครีมมีขนาดโมเลกุลที่ค่อนข้างใหญ่
- เนื้อครีมหนัก
- เมื่อโดนเหงื่อหรือน้ำอาจจะหลุดออกง่าย ต้องทาซ้ำระหว่างวัน
- จำเป็นต้องใช้ในปริมาณมาก และมีโอกาสสูงที่บางจุดไม่ได้รับการปกป้อง ทำให้รังสียูวีสามารถทะลุผ่านช่องว่างระหว่างโมเลกุลของครีมกันแดดมาได้
แต่ในปัจจุบันครีกันแดดสมัยใหม่ที่เป็น Physical sunscreen ที่มีการพัฒนาโดยการนำ Titanium dioxide และ Zinc Oxide มาทำให้เป็น micronized particle ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลง ทำให้ยังมีความสามารถในป้องกันผิวหนังโดยการสะท้อนรังสี UV ได้มากขึ้น ช่วยแก้ปัญหาขาววอกของ Physical sunscreen ได้แต่ยังคงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดได้ 100%
เปรียบเทียบกันชัดๆแบบนี้เราจะเห็นเลยว่า แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ไม่ได้มีแบบไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเหมาะสมในการใชช้งานขอแต่ละคนมากกว่า แต่สำหรับใครที่ตัดสินใจเลือกไม่ได้ รักพี่เสียดายน้อง ไม่มีครีมกันแดดที่ผิวแพ้ง่ายใช้ได้แบบไม่ขาววอกไม่หักหน้าหรอค้า ตอบเลยค่ะว่ามี นั่นก็คือ ครีมกันแดดแบบ Hybrid นั่นเอง
ครีมกันแดดแบบ Hybrid
Hybrid sunscreen กันแดดลูกผสมของ Physical sunscreen และ Chemical sunscreen เป็นกันแดดสูตรน้องใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ คุณสมบัติคือการทั้งดูดซับและสะท้อนแสง UV ได้ภายในตัวเดียว อีกทั้งช่วยลดผลข้างเคียงในการเกิดการแพ้ การอุดตัน และมีสีของเนื้อครีมที่น่าใช้ บางเบามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการรวมข้อดีของครีมกันแดดทั้งสองแบบที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านั่นเอง
แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาครีมกันแดดที่มีความปลอดภัย เด็ก,คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือแม้แต่คนที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้ เราก็มีผลิตภัณฑ์กันแดดดีๆมาแนะนำค่ะ นั่นคือ Godmami Physical Sunscreen For Kids SPF 50 PA+++ ครีมกันแดดสำหรับเด็กสูตรกันน้ำ ที่ถึงแม้จะเป็น physical sunscreen แต่ก็ให้เนื้อที่ซึมไว บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะผิว จะพกพาไปไหนก็สะดวก
นอกจากจะช่วยป้องกันแสง UVA, UVB และ IR แล้ว ยังสามารถป้องกันมลภาวะจากฝุ่น PM2.5/PM10 ปราศจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดการแพ้อย่าง แอลกอฮอล์ม น้ำหอม พาราเบนแลละสีสังเคราะห์ จึงมั่นใจได้ว่าจะปลอดภัยต่อผิวของเด็กๆและคที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายแน่นอนค่ะ
https://www.cosmenet.in.th/community/35/22365%84%E0%B8%A3%3F+