โลกห่างจากดวงอาทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร แต่ทำไม๊ทำไมรู้สึกว่าประเทศไทยอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์แแค่หน้าปากซอย แดดแรงๆแบบนี้ก็ยิ่งอยากจะใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงๆไว้ก่อน แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่าไม่ว่าจะมีครีมกันแดดตัวใหม่ๆออกมาเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นจะมีตัวไหนเขียนค่า SPF เกิน 50 เลยสักแบรนด์ วันนี้ Cosmania เลยจะพาไปไขข้อสงสัยว่าทำไมครีมกันแดดถึงไม่มีค่า SPF สูงกว่า 50 และถ้ามีจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีกว่าจริงๆรึเปล่านะ
ค่า SPF มาจากไหน?
เราเคยพูดถึงความหมายของค่า SPF การคำนวนหาครีมกันแดดที่เหมาะกับผิว และความสำคัญของ SPF กันไปแล้วในบทความ ทำแบรนด์ครีมกันแดด ต้องมีค่า SPF สูงแค่ไหนถึงจะตอบโจทย์ แต่สงสัยไหมคะว่ามีวิธีการอย่างไรที่ทดสอบหาค่า SPF ของครีมกันแดดนั้นๆ งั้นเรามาดูกันก่อนดีกว่าค่ะว่าค่า SPF ของครีมกันแดดนั้นมันมาจากไหน
การทดสอบหาค่า SPF ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด
การทดสอบหาค่า SPF สามารถทำการทดสอบได้โดยตรงกับอาสาสมัครและในห้องทดลอง
● In vivo ทดสอบกับอาสาสมัคร
วิธีการทดสอบคือ จะนำอาสาสมัครที่มีสภาพผิวแบบที่ I,II และ III ตามหลักการแบ่งของ Fitzpatrick กลุ่มละ 10-20 คน
ภาพ: TNPoem.com
จากนั้นจะทำการฉายแสงยูวีในปริมาณต่างๆลงบนผิวของอาสาสมัครโดยใช้ xenon arc lamp เป็นตัวให้แสง ซึ่งจะทดสอบกับทั้งผิวหนังที่ทาครีมกันแดด 2 มิลลิกรัม/ตารางเซนติเมตรและไม่ได้ทาครีมกันแดด แล้วจึงอ่านผลทดสอบ 16-24 ชั่วโมงต่อมา
Xenon arc lamp ภาพ : solarlight.com
เมื่ออ่านผลทดสอบแล้วเราจะได้ค่ามา 2 ค่า นั่นคือ
1) ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงในขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องกันแสงแดด (Protected-MED)
2) ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงบนบริเวณที่ไม่ได้รับการปกป้องกันแสงแดด (Unprotected-MED)
วิธีการคำนวนหา SPF นั้นก็ง่ายนิดเดียวค่ะ ให้เราเอาสองค่านี้มาทำเป็นอัตราส่วนกันตามสมการ
SPF = ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงในขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องกันแสงแดด
ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้เกิดรอยแดงบนบริเวณที่ไม่ได้รับการปกป้องแสงแดด
SPF = Protected MED
Non-protected MED
ตัวอย่าง
เมื่อเราฉายแสงลงบนผิวอาสาสมัคร และพบว่าต้องใช้แสงน้อยที่สุด 500 Jules ถึงจะทำให้เกิดรอยแดงบนผิวหนังที่ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด และใช้แสงน้อยสุด 10 Jules แล้วเกิดรอยแดงบนผิวหนัง ที่ไม่ได้ปกป้อง เราจะหาค่า SPF ของครีมกันแดดได้จาก
SPF = MED of protected skin / MED of unprotected skin = 500/10 = 50
ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดตัวนี้จึงมีค่า SPF 50
● In Vitro ทดสอบในห้องทดลอง
เราสามารถทดสอบหาค่า SPF ได้จากห้องทดลองเหมือนกันนะคะ โดยวัดค่าการดูดซับ (absorption) หรือการแพร่ผ่าน (transmission) ) ของแสงยูวีในช่วง 290-400 นาโนเมตร ผ่านผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่ทาลงบนแผ่นทดสอบ เช่น ผิวหนังหนู หรือผิวหนังมนุษย์หรือแผ่นพอลิเมอร์อย่าง Poly-methyl-meta-acrylate (PMMA) ซึ่งมีลักษณะใส แล้วคำนวนหาค่า SPF ซึ่งใน
ปัจจุบันก็มีการคิดค้นและพัฒนาเครื่อง SPF Analyzer เพื่อให้ง่ายต่อการทดการทดลองด้วยนะคะ
SPF Analyzer ภาพ: www.spectralinstrument.com
เกริ่นการทดสอบหา SPF กันมาซะนาน สรุปแล้วทำไมถึงไม่มี SPF ที่มีค่าสูงเกิน 50 ล่ะ?
มาดูคำใบ้จากค่าเปอร์เซ็นต์การดูดรังสีกันค่ะ
SPF 8 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 87.5%
SPF 15 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 93.3%
SPF 20 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 95%
SPF 30 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 96.7%
SPF 40 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 97.5%
SPF 50 จะดูดซับรังสี UVB ได้ 98%
SPF 50+ จะดูดซับรังสี UVB ได้ > 98%
สังเกตเห็นอะไรไหมคะ ว่าพอ SPF เริ่มสูงขึ้น เปอร์เซ็นต์การดูดซับรังสียูวีก็เริ่มจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ และให้ประสิทธิภาพที่เทียบเท่ากัน และยังไม่มีงานวิจัยที่ออกมาบอกอย่างเป็นทางการว่า SPF มากกว่า 50 จะให้ประสิทธิภาพที่มากกว่าครีมกันแดดที่มี SPF 50 พูดง่ายๆกันคือ แม้จะเคลมว่า SPF มากกว่า 50 แต่ก็ป้องกันแสงแดดไม่มากไปกว่า SPF 50 เท่าไหร่นั่นเอง
กฎหมายผลิตภัณฑ์กันแดด
ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2558 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การพิจารณาจดแจ้งเครื่องสำอาง ได้มีกฎหมายเกี่ยวกับการจดแจ้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ตามแนวทางของกลุ่มประเทศอาเซียน
ดังนี้
- ต้องแสดงความสามารถในการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ ในการป้องกันแสงยูวีบีและยูวีเอ ในกรณีที่ค่า SPF มากกว่า 50 ให้ใช้ชื่อเป็น “SPF 50+” เท่านั้น โดยให้แนบรายงานผลการทดสอบ ความสามารถดังกล่าว จากห้องปฏิบัติการของโรงงานผู้ผลิต หรือหน่วยราชการ หรือมหาวิทยาลัย หรือหน่วยทดสอบ โดยใช้วิธีการทดสอบตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ
- กรณีค่าPA++++ โดยให้แนบรายงานผลการทดสอบความสามารถดังกล่าว จากห้องปฏิบัติการของโรงงานผู้ผลิต หรือหน่วยราชการ หรือมหาวิทยาลัย หรือหน่วยทดสอบ โดยใช้ วิธีการทดสอบตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ
- หากมีค่าที่แสดงถึงความสามารถในการกันน้ำ(water resistance / waterproof) จะต้อง มีรายงานผลการทดสอบความสามารถในการกันน้ำจากห้องปฏิบัติการของโรงงานผู้ผลิต หรือหน่วยราชการ หรือมหาวิทยาลัย โดยใช้วิธีการทดสอบตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ
จากกฎหมายข้อ (1) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดถึงไม่เคยเห็นครีมกันแดดที่ SPF มากกว่า 50 บนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือถ้าหากมีจริงก็อนุญาตให้ใช้ได้แค่ SPF 50+ เท่านั้น
ภาพ: กระทู้พันทิป
จากตัวอย่างกระทูพันทิป : ครีมกันแดดสูตร SPF 110 แต่บอกว่า SPF 50+ แปลว่าอะไร?
แบรนด์ครีมกันแดดตัวดังจากต่างประเทศอย่าง Banana Boat ก็เคยออกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงถึง 110 แต่สุดท้ายเมื่อนำเข้ามาขายที่ไทยแล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนฉลากเพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับขององค์การอาหารและยาของประเทศไทย ที่ให้ระบุค่า SPF สูงสุดที่ 50+ เท่านั้น
สำหรับคนที่มีกิจวัตรประจำวันที่ต้องออกแดดกลางแจ้งหรือชื่นชอบในการทำกิจกรรม outdoor แต่กลัวว่าแสงแดดจะทำร้ายผิว และกำลังมองหา SPF ที่จะสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดได้มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าการเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 50 หรือมากกว่า อาจจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ดี แต่ก็ต้องเลือกครีมกันแดดที่มีความปลอดภัย และอ่อนโยนต่อผิวที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดการแพ้จากสารกันแดดแบบเคมี อย่างครีมกันแดด Godmami Physical Sunscreen For Kids ครีมกันแดดสูตรกันน้ำ สำหรับเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
ซึ่งครีมกันแดดของ Godmami นี้ได้มีการส่งผลทดสอบค่า SPF กับทางหน่วยงานที่มีมาตรฐานสากลและได้ค่า SPF อยู่ที่ประมาณ 99 (แต่ต้องระบุว่ามี SPF 50+ ตามกฏบังคับด้วยเช่นกันค่ะ)
ในเรื่องของความปลอดภัยก็หมดห่วงได้เลย เพราะเขาเป็นครีมกันแดดแบบกายภาพ (Physical sunscreen) ที่ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่ทำให้เกิดการแพ้ระคายเคือง ปราศจากสารเคมี น้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน ทั้งยังเป็นสูตรกันน้ำทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการติดทนและการป้องกันแสงแดดอีกด้วยค่ะ
ตอนนี้ก็เสร็จภารกิจของ Cosmania ที่พาทุกคนมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง SPF กันไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้ในการเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อผิวของตัวเองกันนะคะ ในครั้งหน้าจะมีปริศนาอะไรให้เรามาค้นหาคำตอบกันอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ
ข้อมูลอ้างอิง :